กฟผ. ร่วมกับ กฟน. และ กฟภ. จัดงาน “Show and Share Innovation for the Better Life 2025” เวทีแสดงศักยภาพผลงานวิจัย พัฒนา สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า เพื่อยกระดับคุณภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมพลังงานยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยมุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมจัดงาน Show and Share Innovation for the Better Life 2025 โดยมีนายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ (ชยน.) กฟผ. นายดิเรก บุญปิยทัศน์ รองผู้ว่าการวางแผนและนวัตกรรมระบบไฟฟ้า กฟน. และ นายพงศกร ยุทธโกวิท รองผู้ว่าการวางแผนและวิศวกรรม กฟภ. ร่วมเปิดงาน โดยมีนวัตกรจากทั้ง 3 การไฟฟ้า พร้อมทั้งหน่วยงานด้านนโยบายและกำกับดูแลกิจการด้านพลังงาน หน่วยงานด้านวิจัยของประเทศ สถาบันการศึกษา และประชาชนที่สนใจร่วมงาน ณ ห้อง Bangkok Convention Centre B2 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
งาน Show and Share Innovation for the Better Life 2025 เป็นเวทีนำเสนอผลงานนวัตกรรมที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาบริการไฟฟ้าอัจฉริยะ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนการตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้ใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัลและสังคมคาร์บอนต่ำ โดยปีนี้มี กฟน. เป็นเจ้าภาพจัดงาน ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การจัดแสดงนิทรรศการและผลงานเด่นจากทั้ง 3 การไฟฟ้า การเสวนาแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านนวัตกรรมในหัวข้อ “นวัตกรรมเพื่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า”เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ก้าวสู่การพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนในอนาคต โดยผู้บริหารจาก 3 การไฟฟ้า และมีคุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายเกษม สระทองฮัก ผู้ช่วยผู้ว่าการวางแผนและนวัตกรรมระบบไฟฟ้า กฟน. กล่าวในการเสวนาว่า กฟน. มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับความมั่นคงและความยั่งยืนของระบบไฟฟ้าในอนาคต โดยมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งในระบบจำหน่าย ระบบควบคุม และสถานีไฟฟ้าย่อย เช่น การเปลี่ยนวัสดุสายไฟให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น การพัฒนาอุปกรณ์ตัดวงจรและฉนวนไฟฟ้าที่ติดตั้งได้โดยไม่ต้องดับไฟ การใช้เสาเหล็ก Steel Monopole เพื่อลดปัญหาเสาหักล้ม ตลอดจนการติดตั้ง Smart Meter และระบบตรวจสอบโหลดหม้อแปลง (TLM) เพื่อบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กฟน. ยังได้พัฒนา Modular Substation แบบ Net Zero ซึ่งใช้พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าภายนอกและลดการปล่อยคาร์บอน โดยทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความตั้งใจในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
นายสมชาย ทรงศิริ ผู้ช่วยผู้ว่าการวางแผนและวิศวกรรม (วางแผนและพัฒนาระบบไฟฟ้า) กฟภ. กล่าวถึงภาพรวมด้านยุทธศาสตร์และทิศทางด้านนวัตกรรมของ กฟภ. รวมถึงนโยบาย PEA MOVE ของผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคนที่ 16 (นายมงคล ตรีกิจจานนท์) ภายในการเสวนาว่า ในด้าน Innovation and Green Energy การใช้นวัตกรรมและพลังงานสะอาด โดย กฟภ. ได้นำนวัตกรรมแพลตฟอร์ม CARBONFORM มาใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และให้บริการลูกค้าภายนอก เพื่อการลดและชดเชยคาร์บอนมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ นอกจากนั้น กฟภ. ยังมีนวัตกรรมเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ผ่านการดำเนินโครงการ Microgrid ในพื้นที่วิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า และโครงการส่งเสริมการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าสะอาดด้วย Third Party Access และ Energy Trading Platform และเพื่อให้การดำเนินงานด้านนวัตกรรมเกิดความยั่งยืนในอนาคต กฟภ. ได้กำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางยุทธศาสตร์ด้านการจัดการนวัตกรรม เพื่อให้เป็นองค์กรนวัตกรรมที่มุ่งมั่นให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในด้านการจัดทำพลังงานสะอาดและระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะทั้งในปัจจุบันและอนาคต
นายวฤต รัตนชื่น ชยน. กล่าวในการเสวนาว่า กฟผ. เดินหน้ายกระดับระบบไฟฟ้าให้ทันสมัย ยืดหยุ่น และยั่งยืนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) รองรับพลังงานหมุนเวียนและเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต โดย กฟผ. มีการปรับโครงข่ายระบบไฟฟ้าให้ทันสมัย (Grid Modernization) เสริมความมั่นคงด้านพลังงาน โดยปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารูปแบบใหม่ ให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารกําลังการผลิตไฟฟ้า และลดความผันผวนของระบบ ติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานทั้งแบตเตอรี่ (BESS) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ พร้อมพัฒนาศูนย์ควบคุมการตอบสนองด้านโหลด (DRCC) และศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REFC) เพื่อใช้ข้อมูลมาวางแผนและบริหารจัดการระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมผลักดันโครงการเพื่อความยั่งยืน อาทิ 1. ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) 2. โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ 3. EV Integration และระบบชาร์จไฟอัจฉริยะผ่านแพลตฟอร์ม EleXA และ BackEN EV4. Urban Mining และการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วอย่างคุ้มค่า 5. การจัดซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability Linked Bond) มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรสู่ความยั่งยืนของประเทศในระยะยาว
การจัดงานครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในความร่วมมือของ 3 การไฟฟ้า เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมพลังงานที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของผู้ใช้ไฟฟ้า ส่งเสริมงานวิจัยพัฒนา สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรม บูรณาการความร่วมมือระหว่างกัน พร้อมขยายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ให้การผลิต จัดหา และส่งจ่ายไฟฟ้าของประเทศมีคุณภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคง สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ที่มา : EGAT Today